top of page

ปวดบ่า ปวดไหล่ ต่างกันอย่างไร อาการแบบไหนน่าเป็นห่วง


น้องสรีเชื่อว่า หลายคนอาจมีการสับสนอยู่บ่อยๆ ว่าการปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ มีความแตกต่างกันอย่างไร? เพราะทั้ง 3 จุดนี้ เป็นโซนที่คนมักจะปวดกันอยู่บ่อยๆ และเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้ๆกันอีกด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถสังเกตอาการ และแยกจุดปวดเมื่อยได้ว่า จริงๆแล้วเรากำลังปวดอะไรอยู่กันแน่ โดยมีเคล็ดลับการแยกบริเวณ ดังนี้


อาการปวดคอบ่าไหล่ที่มักมาพร้อมกัน บ่าคือช่วงไหน ไหล่คือช่วงไหน


  • การปวดคอ จะเริ่มตั้งแต่บริเวณท้ายทอย ต้นคอ และสิ้นสุดที่ก่อนถึงบริเวณบ่า ซึ่งการปวดบริเวณนี้ อาจมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการปวดเมื่อยคอธรรมดา การปวดเกร็งคอจนขยับเคลื่อนไหวคอลำบาก เนื่องจากนอนตกหมอน การปวดบริเวณหลังคอจากการทำงานที่ต้องก้มๆเงยๆ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนปวดจากกล้ามเนื้อ เป็นอาการปวดชั่วคราวที่สามารถนวด ทำท่าบริหารคอ หรือหยุดพักพฤติกรรมนั้น ก็สามารถหายเองได้



  • การปวดบ่า จะเป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างคอกับไหล่ ซึ่งในส่วนนี้มักจะปวดเมื่อย ปวดเกร็ง ตึงๆบ่า จากลักษณะพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ความเครียด การใช้งานกล้ามเนื้อที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้องได้ ก็จะทำให้สามารถค่อยๆหายดีขึ้นได้



  • การปวดไหล่ จะปวดบริเวณช่วงโค้งของไหล่ หรือการปวดส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างลำตัวกับแขน ซึ่งมักจะปวดเมื่อยไหล่ เจ็บแปลบ ขยับเขยื้อนไหล่ลำบาก มีอาการตึงๆไหล่ โดยอาจมาจากการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม เช่น ยกของหนักๆผิดท่า การเล่นกีฬาต่างๆ เป็นต้น




ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดชั่วคราวที่สามารถหายไปเองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรติดตามอาการตนเอง เพื่อป้องกันการพัฒนาไปสู่อาการปวดเรื้อรังอันตรายที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา เช่น ปวดคอจนร้าวลงบ่า อ่อนแรง หรือปวดบ่าเรื้อรังมานานไม่หายสักที ฯลฯ


ในบางครั้ง เราอาจมีอาการปวดคอบ่าไหล่พร้อมๆกันได้ โดยอาการปวดเกร็ง หรือตึงกล้ามเนื้อจะเริ่มตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงช่วงไหล่ ซึ่งหากปล่อยไว้ หรือใช้งานอย่างหนักเป็นเวลานาน ไม่ยอมหยุดพักการใช้งานกล้ามเนื้อในส่วนนั้น ก็จะทำให้มีการพัฒนาไปสู่อาการปวดแบบเรื้อรัง ที่มีความสัมพันธ์กันกับโรคออฟฟิศซินโดรม


ใครปวดไหล่ได้บ้าง

  • นักกีฬา หรือผู้ที่เล่นกีฬาอย่างหนัก

  • ผู้ที่ทำงานออฟฟิศ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน

  • คนที่ต้องใช้แรงกายในการทำงาน

  • ยกของหนักจนเกินไป

  • การเคลื่อนไหวในท่าทางแบบเดิมซ้ำๆ

  • ผู้ที่มีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ

  • ผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุ

  • เป็นโรคที่มีผลต่ออาการปวดไหล่ เช่น โรคเกี่ยวกับกระดูก คอ ฯลฯ

  • พบมากในบุคคลที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

สาเหตุอาการปวดบ่า ปวดไหล่

“สาเหตุของอาการปวดบ่า ปวดไหล่ เกิดจากอะไร?”

การเกิดอาการปวดบ่าและไหล่ มีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้


1. พฤติกรรมที่ทำให้เกิดการปวดบ่า ไหล่ เช่น การทำงาน ออกกำลังกาย ท่านอน


บางครั้ง พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เราทำอยู่เป็นประจำ อาจมีความไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับร่างกายของเรา ได้แก่

  • การทำงาน

หากคุณเป็นคนที่นั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน ไม่ค่อยพักกล้ามเนื้อ มีการเกร็งหรือใช้งานส่วนต่างๆของกล้ามเนื้อบ่อยๆ สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน เช่น ระดับความสูงระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้ไม่สัมพันธ์กัน แสงไฟสว่างไม่เพียงพอทำให้ต้องก้มตัวไปใกล้หน้าจอหรือเอกสารมากจนเกินไป ต้องยกของหนักเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดบ่า ปวดไหล่ขึ้นได้

  • การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี หากคุณสามารถทำได้อย่างถูกหลักวิธี ส่วนหนึ่งที่ทำให้การออกกำลังกาย กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการปวด เพราะการออกกำลังกายที่หักโหมจนเกินไป ไม่มีการหยุดพักกล้ามเนื้อที่ล้าหรือปวดเมื่อย การออกกำลังกายผิดท่า เป็นต้น

  • ท่าทางการนอนหลับ

การนอนหลับ เป็นสิ่งสำคัญที่คนมักจะมองข้ามไปมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นท่านอนที่ไม่เหมาะสมอย่างการนอนแล้วศีรษะกับคอไม่อยู่ในแนวเดียวกัน นอนตกหมอน ความหนาของหมอนมากหรือน้อยจนเกินไป เตียงมีความนุ่มมากจนเกินไป ก็ทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ หลังได้เช่นกัน


ปัญหาเชิงโครงสร้างร่างกาย เช่น กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ

ทุกคนมีความแข็งแรงของร่างกายที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสที่โครงสร้างร่างกายมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น เพราะความเสื่อมของร่างกาย เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยมักพบเกี่ยวกับปัญหาความสึกของกระดูกข้อไหล่ ข้ออักเสบ เกิดภาวะหัวไหล่ติด เส้นเอ็นหัวไหล่อักเสบ ปวดบ่า ปวดไหล่เรื้อรัง หรือการเกิดโรคต่างๆขึ้น เช่น โรคข้อเสื่อม โรครูมาตอยด์ และเส้นประสาทถูกกดทับ เป็นต้น


การเกิดอุบัติเหตุ

การเกิดอุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนไม่คาดคิด หากเกิดอุบัติเหตุรุนแรง จนเกิดการข้อไหล่หลุด กระดูกไหล่ กระดูกไหปลาร้า หรือแขนหัก ก็อาจทำให้มีอาการปวดบ่า ปวดไหล่ได้


อาการปวดไหล่ เป็นอย่างไร


อาการปวดต้นคอ ปวดบ่าและไหล่ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ นั่นก็คือ อาการปวดแบบเฉียบพลัน และอาการปวดแบบเรื้อรัง ซึ่งจะมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

อาการปวด-ตึงบริเวณต้นคอ บ่า ไหล่เฉียบพลัน

การปวดต้นคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ แบบเฉียบพลัน เป็นอาการที่มักพบได้บ่อยจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสม เช่น การนอนตกหมอน ก็จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีความเกร็ง หันหน้าไม่ได้ ตึงจนไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวคอได้อย่างอิสระ

อาการปวด-ตึงบริเวณต้นคอ บ่า ไหล่เรื้อรัง

ผู้ที่มีอาการปวดต้นคอ บ่า ไหล่ แบบเรื้อรัง คือมีอาการปวดแบบบางครั้ง หายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก ไม่หายขาดเสียที มีอาการปวดมาเป็นระยะเวลายาวนาน กลุ่มประเภทนี้มักเกิดจากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงเพียงพอ รวมไปจนถึงการใช้งานบริเวณส่วนนั้นๆนานและหนักจนเกินไป ไม่ยอมพัก

หากปล่อยทิ้งไว้จนอาการมีความรุนแรงขึ้น อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไหล่ติด ฯลฯ จนต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว


วิธีการตรวจสอบอาการปวดบริเวณต้นคอ ปวดบ่า ไหล่ติด

  1. ให้คุณหากำแพงสักด้านหนึ่งของบ้านที่โล่งๆ

  2. จากนั้นยืนตัวตรง เอาหลังชิดติดกำแพงนั้น กางขาออกให้อยู่ในแนวเดียวกับระดับของหัวไหล่

  3. เริ่มตรวจเช็คจากข้างซ้าย ให้คุณยกแขนซ้ายขึ้นตั้งฉากกับลำตัว ทำมุม 90 องศา โดยขณะเดียวกันให้คว่ำฝ่ามือไว้ด้วย

  4. สังเกตความรู้สึกของตนเองว่ามีอาการตึงของบ่าและไหล่ทางด้านซ้ายหรือไม่

  5. ตรวจเช็คข้างขวา ให้ทำแบบเดียวกัน คือการยกแขนขวาทำมุม 90 องศาและคว่ำฝ่ามือไว้ สังเกตความรู้สึกตนเองบริเวณบ่าและไหล่ทางด้านขวาเช่นกัน

  6. หากคุณทำแบบระดับ 90 องศาแล้ว ต่อไปจะทำคล้ายๆเดิม แต่เพิ่มเติมคือการยกแต่ละข้างขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่แขนยังแนบติดอยู่กับกำแพง

  7. สังเกตว่าในแต่ละข้างสามารถยกแขนได้ถึงในระดับใด ระดับความตึงของบ่าและไหล่อยู่ประมาณไหน


ผลการตรวจสอบ คือ หากคุณสามารถกางแขนได้มากกว่า 60 องศาขึ้นไป แสดงว่า บริเวณคอ บ่า และไหล่อยู่ในภาวะปกติ มีความยืดหยุ่นสูง แต่ถ้าหากคุณกางแขนได้อยู่ในช่วง 45-60 องศา แสดงว่าอาจมีอาการไหล่ติด ปวดเมื่อย ตึงบ่าไหล่อยู่บ้าง ให้แก้ไขได้ด้วยวิธีการทำท่าบริหารคอ บ่า ไหล่ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และความแข็งแรงให้มากยิ่งขึ้น

สุดท้าย หากคุณสามารถกางแขนได้น้อยกว่า 45 องศา แสดงว่า บริเวณบ่าและไหล่ มีความตึงเครียดสูงมาก จำเป็นต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัด หรือบริหารกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด


วิธีแก้ปวดคอ บ่า ไหล่

ในเบื้องต้น คุณสามารถใช้วิธีแก้ปวดคอ บ่า ไหล่ หรือบรรเทาอาการปวดตึงกล้ามเนื้อได้ง่ายๆด้วยตนเอง โดยเริ่มจากสิ่งต่างๆเหล่านี้


การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อสรีระร่างกาย

ให้คุณสังเกตพฤติกรรมตนเองบ่อยๆว่า คุณชอบใช้เวลาอยู่ในสถานที่ตรงไหนบ่อยๆ และให้ไปดูว่า ในสถานที่นั้นมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อสรีระของเราหรือไม่ เพราะสภาพแวดล้อมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้คุณปวดบ่า ต้นคอ หรือเป็นออฟฟิศซินโดรมขึ้นมาได้

หากคุณเป็นคนที่ใช้เวลาอยู่กับการทำงานเป็นหลัก จะต้องสังเกตดูว่าระดับความสูงระหว่างโต๊ะและเก้าอี้นั่งทำงาน มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เก้าอี้มีส่วนต่างๆที่สามารถซัพพอร์ตร่างกายของเราได้ไหม? ความสว่างในบริเวณนั้น องศาจอคอมพิวเตอร์ เม้าส์ คีย์บอร์ดเป็นอย่างไร ฯลฯ หากพบว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ควรมีการปรับเปลี่ยนใหม่ เพื่อทำให้ร่างกายไม่กลับมาปวดตึงแบบซ้ำๆ

สิ่งที่สำคัญอย่างมาก อีก 1 อย่าง คือ สภาพแวดล้อมในการนอนหลับ คุณควรเปลี่ยนให้หมอน มีระดับความสูงที่เหมาะสม นอนแล้วบริเวณศีรษะกับคออยู่ในแนวเดียวกัน คางไม่กดหรือเงยขึ้นมากจนเกินไป ที่นอนไม่นุ่มจนเกินไป สามารถรองรับสรีระร่างกายได้อย่างเหมาะสม


การบริหารร่างกายเป็นประจำ

  • ทำท่าบริหารกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อให้มากขึ้น

  • นวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แบบไม่รุนแรง เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ได้ผ่อนคลายลง

  • เริ่มทำโยคะ เพื่อฝึกกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นและคลายความตึงของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้น

  • ออกกำลังกายอย่างไม่หักโหม เพื่อทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง ไม่ป่วยหรือส่วนต่างๆเสื่อมง่าย

การทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัด เป็นการฟื้นฟูกล้ามเนื้อโดยนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาใช้ ซึ่งแต่ละคนอาจมีกระบวนการแก้ไขอาการปวดบ่า ต้นคอ ปวดไหล่ หรือออฟฟิศซินโดรมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ ที่จะเข้ามาประเมินอาการและร่างกาย เพื่อวางแผนวิธีการที่มีความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ทางสรีรารัก คลินิกกายภาพบำบัดของเรา จะดูแลคุณโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ ที่มีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องโดยเฉพาะ และมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการรักษาแต่ละรายบุคคล ดังนี้

  • High Power Laser Therapy

เป็นการใช้เลเซอร์กำลังสูง เพื่อลดอาการอักเสบ ปวดเคล็ดต่างๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ปวดคอ บ่า ปวดหลัง มีอาการชาลงแขน-ขา เอ็นหรือกล้ามเนื้อฉีก เป็นต้น

  • Electro - Magnetic Stimulation

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะสามารถช่วยลดอาการปวดจากเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต กระดูกเสื่อม ออฟฟิศซินโดรม ปวดเฉียบพลัน หรือปวดเรื้อรัง เป็นต้น

  • Shock Wave Therapy

เป็นการทำคลื่นกระแทก เพื่อช่วยลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ สลายพังพืดรอบๆข้อ เหมาะสำหรับบุคคลที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณคอ บ่า หลัง ไหล่ การเป็นออฟฟิศซินโดรม หรือแม้กระทั่งคนที่ตรวจเช็คตนเองแล้วค้นพบว่า ไหล่ติดสบักแน่น เอ็นอักเสบ นิ้วล็อก ก็สามารถทำการรักษาด้วยเครื่องนี้ได้

  • Electrical stimulator

การใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ป้องกันการเกิดพังผืด อีกทั้งยังสามารถลดอาการปวดเกร็ง หรือบวมของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย

  • Electric Traction Machine

เครื่องดึงคอและกระดูกสันหลังไฟฟ้า เหมาะสำหรับบุคคลที่มีอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ มีการกดทับของเส้นประสาท ซึ่งเครื่องนี้จะสามารถช่วยดึงคอและกระดูกสันหลัง เพื่อเพิ่มช่องที่กระดูกคอและสันหลังได้ รวมไปจนถึงยังสามารถช่วยยืดกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวด้วย

  • Shortwave Diathermy Machine

เครื่องให้ความร้อนลึก เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ หรือเกิดการอักเสบเรื้อรัง เพราะเครื่องนี้สามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการข้อติด และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆได้

  • Ultrasonic Generator

เป็นการใช้เครื่องมือนวดระดับเซลล์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ลดอาการปวดหรืออักเสบเรื้อรังของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเยื่อหุ้มข้อต่างๆ

  • Hot Pack

Hot Pack เป็นแผ่นแร่ความร้อนชื้นที่สามารถนำมาวางไว้บริเวณที่ปวดตึง เพื่อบรรเทาอาการได้ อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย และกระตุ้นการหมุนเวียนโลหิตได้อีกด้วย

  • Manual Technique

นักกายภาพบำบัดของเรา จะใช้เทคนิคการดึง การดัด เพื่อทำให้เกิดสมดุลในการรับน้ำหนัก อีกทั้งยังสามารถบรรเทาอาการปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ หรือการตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ลดการยึดติดแน่นของเนื้อเยื่อต่างๆได้


สรุป

อาการปวดต้นคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานที่มีการใช้กล้ามเนื้อในส่วนๆนั้นอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ไม่มีการหยุดพักกล้ามเนื้อ สภาพแวดล้อมบริเวณที่ทำงานไม่เอื้ออำนวย จนทำให้หลายคนเกิดการเป็นออฟฟิศซินโดรม มีอาการปวดคอบ่าไหล่ และปวดหลัง ได้

นอกเหนือจากนั้น ยังมีเรื่องของท่าทางการนอนหลับ ลักษณะของที่นอน โครงสร้างร่างกายของแต่ละคน รวมไปจนถึงการเกิดอุบัติเหตุ ที่อาจมีส่วนในการทำให้ปวดต้นคอ บ่า ไหล่ได้เช่นเดียวกัน


สรีรารัก คลินิกกายภาพบำบัด เราพร้อมให้การดูแลรักษาคุณด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหรือเกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆได้อย่างไม่ยุ่งยาก อีกทั้งนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญของเรา จะดูแลคุณตลอดทั้งกระบวนการ ไม่ว่าจะปวดคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ ปวดหลัง หรือปวดเรื้อรัง ก็สามารถเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุดได้ ที่สรีรารัก

หากคุณสนใจสอบถามรายละเอียดต่างๆเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น “อาการแบบนี้ต้องรักษานานไหม?” “ราคาค่าบริการต่างๆประมาณเท่าไหร่?” “เดินทางไปที่คลินิกอย่างไรได้บ้าง?” ก็สามารถติดต่อได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 096-515-4692 หรือ Line : @sarirarak


Featured Posts
Recent Posts
Search By Tags
bottom of page